วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความงดงามของใต้ท้องทะเล 


ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=FgJAIl32uVs



มหัศจรรย์โลกใต้ทะเล มีปลายหลายร้อยพันชนิดที่แหวกว่ายในสายน้ำ



ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=X1uYtLj3_9M

มาเรียนรู้โลกใต้ทะเลกันเถอะค่ะ 


ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=GBtsGKwrsME

เราไปดำน้ำดูปะการังกกันดีกว่า


ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=0mn3kFjeetg
ปลาเก๋าและปลาหมอทะเล




 ใต้ท้องทะเลนั้นนอกจากจะมีปลาพยาบาลแล้ว ก็ยังมีปลาหมอทะเลอีกด้วยครับ ซึ่งปลาหมอทะเลนั้นเป็นปลาขนาดใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็นปลากระดูกแข็งที่ใหญ่ที่สุดใต้ท้องทะเลเลยทีเดียว เพราะเมื่อโตเต็มที่อาจจะมีความยาวได้ถึงกว่า 2 เมตร หนักถึงประมาณ 400 กิโลกรัมเลยทีเดียว ซึ่งนับเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่และน่าเกรงขามในใต้ท้องทะเล
       
       แต่บางคนอาจจะแย้งว่าแล้วปลาใหญ่อย่างฉลามวาฬ ปลากระเบนราหูที่มีขนาดใหญ่กว่า มีน้ำหนักเป็นตันล่ะจะไม่ใหญ่กว่าปลาหมอทะเลหรือ ก็ต้องยอมรับว่าปลาทั้ง 2 ชนิดนั้นอาจจะมีขนาดใหญ่กว่าปลาหมอทะเลครับ แต่เจ้ายักษ์ใหญ่ใต้ท้องทะเลทั้ง 2 ชนิดทั้งปลาฉลามวาฬและปลากระเบนราหูนั้นเป็นปลาตระกูลฉลามและกระเบนซึ่งเป็นปลากระดูกอ่อน ไม่ใช่ปลากระดูกแข็ง ดังนั้นเจ้าปลาหมอทะเลจึงครองแชมป์เป็นปลากระดูกแข็งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดใต้ท้องทะเล
       
       แม้นบางคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับปลาหมอทะเลเพราะเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ และชอบอาศัยอยู่ตามใต้ท้องทะเลลึก ใต้ผาหิน เพิงถ้ำใต้น้ำ แต่หากจะบอกว่าแท้ที่จริงแล้วปลาหมอทะเลนั้นไม่ใช่อื่นไกล แต่เป็นปลาในตระกูลเดียวกับปลาเก๋า หรือปลากะรังที่มีมากมายหลากหลายในท้องทะเล และหลาย ๆ ท่านก็อาจจะคุ้นเคยกับรูปร่างหน้าตาของปลาในตระกูลนี้และบางท่านก็อาจจะคุ้นลิ้น เพราะเป็นปลาที่เนื้อมีรสชาติอร่อย เนื้อแน่นหวาน ผู้คนนิยมนำมาทำอาหารไม่ว่าจะเป็นข้าวต้มปลาเก๋า ปลาเก๋าต้มยำ ปลาเก๋าราดพริก ปลาเก๋าสามรส ปลาเก๋าจึงนับเป็นปลายอดนิยมระดับต้น ๆ เลยทีเดียว
       
       ปลาเก๋า หรือปลากะรัง ( Groupers )นั้นนับเป็นปลาที่มีความหลากหลายของสายพันธุ์ มีขนาดตั้งแต่ลำตัวยาว 50 เซนติเมตรไปจนถึงตัวขนาดใหญ่เกือบ 3 เมตรเลยทีเดียว อีกทั้งปลาในกลุ่มนี้ยังรวมเอาปลาทอง (Basslets หรือ Anthias ) ที่มีขนาดเล็กจิ๋ว มีสีสันสวยงามลำตัวขนาดยาว 6-10 เซนติเมตรเข้าไปด้วย นั่นจึงทำให้มันเป็นครอบครัวที่มีเครือญาติมากมายในท้องทะเล โดยอาศัยอยู่ตั้งแต่น้ำกร่อยตามปากแม่น้ำ ป่าชายเลน ผืนทรายใต้น้ำใกล้ชายฝั่ง ลงไปจนถึงแนวปะการัง กองหิน ถ้ำใต้ทะเลลึก ตามซากเรือจม หรือกองวัสดุใต้ท้องทะเล เป็นปลาที่กินอาหารเก่ง กินตั้งแต่ กุ้ง หอย ปู ปลา หรือสัตว์น้ำที่มีขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร โดยปลาในกลุ่มปลาเก๋าหรือปลาหมอทะเลนั้นสามารถจะเปลี่ยนเพศได้ โดยสามารถจะเปลี่ยนเพศจากปลาเพศเมียเป็นปลาเพศผู้ได้เมื่อมันโตเต็มที่ ซึ่งความสามารถในการเปลี่ยนเพศได้ก็เป็นคุณสมบัติที่ช่วยให้ปลาในกลุ่มนี้สามารถจะดำรงความหลากหลายของสายพันธุ์และจำนวนของสมาชิกให้คงอยู่คู่กับท้องทะเลได้ยาวนานจนถึงปัจจุบัน



   ด้วยเป็นปลาที่มีรูปร่างอ้วนป้อมแข็งแรงบึกบึน มีลักษณะโครงสร้างของกระดูกที่แข็งแกร่ง มีปากใหญ่ ขากรรไกรกว้าง มีฟันขนาดเล็กละเอียดจำนวนมากอยู่ในปาก ปลาในกลุ่มปลาเก๋าและปลาหมอทะเลจึงกินอาหารด้วยการอ้าปากดูดฮุบเหยื่อด้วยแรงมหาศาล โดยจะทำการกลืนเหยื่อเข้าไปทั้งตัว และเป็นปลาที่กินอาหารเก่ง เรียกว่ากินไม่ค่อยเลือกขอให้เป็นเหยื่อที่มีขนาดเล็กกว่าที่เหมาะสมกับการฮุบกลืนลงไปในคอ ด้วยคุณสมบัติของการกินอาหารเก่ง โตเร็ว ทนทานต่อสภาพแวดล้อม และเป็นปลาที่ผู้คนนิยมบริโภค จึงมีการนำลูกปลาเก๋าขนาดเล็กที่จับได้ ไปเลี้ยงต่อในกระชัง ซึ่งเมื่อให้อาหารไม่กี่เดือนก็จะได้ปลาเก๋าที่มีขนาดประมาณ 400-600 กรัม ซึ่งเป็นขนาดพอดีจานอันเป็นขนาดที่ตลาดกำลังต้องการและได้ราคาดีที่สุดเพื่อนำส่งขายตามภัตตาคารหรือร้านอาหารทะเล
       
       สำหรับนักดำน้ำแล้วปลาในตระกูลปลาเก๋านั้นนับเป็นปลาที่นักดำน้ำคุ้นเคย เพราะสามารถจะพบเห็นได้ในทุกหนทุกแห่งของแหล่งดำน้ำเลยก็ว่าได้ โดยกลุ่มที่มีสีสันที่สุดก็น่าจะเป็นกลุ่มปลาทองที่มีตั้งแต่สีชมพูสด สีส้ม สีแดง สีม่วง ซึ่งมักจะอาศัยอยู่กันเป็นกลุ่มนับร้อย ๆ ตัวตามกอปะการังโครงสร้างแข็ง ส่วนปลาเก๋าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อยและพบเห็นได้มากมายในท้องทะเลบ้านเรานั่นก็คือเจ้าปลากะรังแดงจุดน้ำเงิน (Coral rockcod) ซึ่งเป็นปลาเก๋าที่มีสีสันสดใสโดดเด่นและมีมากในแหล่งดำน้ำทางฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งในแหล่งดำน้ำของประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่าง มาเลเซีย อินโดนีเซีย ก็ยังมีให้เห็นไม่มากเหมือนบ้านเรา นอกจากนั้นก็จะเป็นปลาเก๋าที่สีสันไม่ค่อยสดใสนัก โดยส่วนใหญ่จะออกไปในโทนสีน้ำตาล มีลายจุด หรือลายดอกเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้สีสันบนลำตัวของมันกลมกลืนกับสีสันของสภาพแวดล้อมในแนวปะการังเช่นปลากะรังลายนกยูง ปลากะรังลายตุ๊กแก กะรังลายเส้นขาว เป็นต้น
       
       ส่วนปลาเก๋าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกโดยมีขนาดลำตัวยาวเกิน 2 ฟุต อย่างปลาเก๋าดอกดำ ปลาเก๋าดอกหมาก ปลาเก๋ายักษ์ ซึ่งปลาเก๋าขนาดใหญ่ ๆ เหล่านี้หลาย ๆ คนก็เรียกมันว่าปลาหมอทะเล ซึ่งบางตัวก็มีขนาดใหญ่ มีความยาวเกิน 1 เมตร ชอบอาศัยอยู่ตามใต้เพิงหิน หรือในโพรงถ้ำ ตามซากเรือจมในพื้นที่ ๆ มีแสงน้อย ซึ่งปลาหมอทะเลขนาดใหญ่เหล่านี้เป็นที่สนใจของนักดำน้ำเป็นอย่างยิ่ง
       ปลาเก๋าและปลาหมอทะเลนั้น ไม่ว่าจะมีขนาดเล็ก หรือมีขนาดใหญ่ก็มักจะมีนิสัยรักสงบ อาศัยอยู่เป็นที่เป็นทาง และมักจะหวงถิ่น โดยหากมีปลาอื่นว่ายเวียนเข้าไปในพื้นที่อยู่อาศัย ก็มักจะถูกขู่ไล่โดยการลอยตัวนิ่ง ๆ ปักหลักทำท่ากางครีบกางเหงือกให้พองโตน่าเกรงขามเป็นการข่มขู่และเป็นสัญญาณเตือนว่า “อย่ารุกล้ำเข้ามานะ” ซึ่งการลอยตัวนิ่ง ๆ เพื่อเป็นการข่มขู่ หรือการว่ายช้า ๆวนไปวนมาในพื้นที่อยู่ประจำของมันเพื่อประกาศอาณาเขตนั้น นับเป็นช่วงเวลาที่ดียิ่งของช่างภาพใต้น้ำที่จะยกกล้องรอคอยกดชัตเตอร์ในช่วงเวลาที่ได้จังหวะงดงาม ในขณะที่ปลาหมอทะเลขนาดใหญ่ลำตัวยาวกว่า 1 เมตร รูปร่างอ้วนตันราวกับตอร์ปิโดนั้นนับเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจเมื่อยามได้พบเห็น ยิ่งบางตัวที่มีความคุ้นเคยกับนักดำน้ำจนยอมให้นักดำน้ำว่ายเข้าไปใกล้ เข้าไปถ่ายภาพได้อย่างใกล้ชิดชนิดที่เอากล้องจ่อได้ด้วยแล้ว ยิ่งนับเป็นเพื่อนใต้ทะเลที่น่ารักยิ่งนัก
       
       ด้วยความเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่และเชื่องต่อผู้คน อีกทั้งว่ายน้ำเชื่องช้าหรือชอบลอยตัวนิ่ง ๆ อยู่กับที่ ปลาหมอทะเลขนาดใหญ่จึงเป็นที่นิยมของบรรดาสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำทั้งหลายที่กำลังฮิตอยู่ในปัจจุบัน เพราะนอกจากจะมีขนาดใหญ่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวแล้ว ปลาหมอทะเลเหล่านี้ยังทนทานต่อสภาพแวดล้อม เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย กินอาหารเก่ง โตเร็ว อายุยืนและสามารถจะเพิ่มขนาดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว นั่นจึงทำให้มีคำสั่งซื้อจากบรรดาสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำทั้งหลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็มีชาวประมงบางรายทดลองนำลูกพันธุ์ปลาหมอทะเลที่จับได้จากลอบดักปลาหรืออวนจับปู มาเลี้ยงในกระชังใช้เวลาเลี้ยงปีกว่า ๆ ก็จะได้ปลาหมอทะเลที่มีขนาด 10 -15 กิโลกรัม สามารถจะส่งขายเป็นปลาเลี้ยงโชว์ได้ ซึ่งก็เป็นนับเรื่องที่น่าห่วงใยสำหรับเพื่อนตัวใหญ่ใต้ทะเลของผม เพราะนอกจากจะต้องคอยเอาตัวรอดจากการล่าไปแขวนตามร้านข้าวต้มปลา ร้านอาหารทะเลแล้ว วันนี้ก็ยังต้องคอยหนีเอาตัวรอดจากบรรดาสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำอีกทางหนึ่งด้วย


ที่มา : http://www.manager.co.th

สารานุกรมสิ่งแวดล้อม



ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=7mIxoWTTPZ4


สารคดีเต่า

ที่มา : http://www.youtube.com
                                                           ----  ปูเสฉวน  ---



ปูเสฉวน เป็นสัตว์ต่างสายพันธ์กับปูทั่วไป คือ ไม่มีโครงร่างเป็นเปลือกแข็งแรงที่ใช้ป้องกันอวัยวะ แต่จะอาศัยอยู่ในเปลือกหอย ชนิดหอยฝาเดียวที่มีตัวขดเป็นรูปเกลียวสว่าน.. 
ทั้งนี้เพราะปูเสฉวนมีส่วนท้องและก้นที่โตใหญ่แต่อ่อนนุ่มและบอบบาง.. 
มันจึงต้องม้วนก้น เป็นเกลียวสอดเก็บไว้ในเปลือกหอย เพื่อเป็นเครื่องกำบังหลบภัย.. 
ทำให้ระยางค์ที่อยู่บริเวณท้องไม่ได้ทำงาน เสื่อมประโยชน์ไป.. 
เว้นแต่คู่เดียว ที่งอเป็นขอได้อาศัยเป็นเครื่องยึดเกาะเกี่ยวกับด้านในของเปลือกหอย.. 
ส่วนหัวและอกของตัวปูนั้นโผล่หรือหดตัวเข้าออกได้สะดวก และใช้ก้ามใหญ่ปิดทางเข้าไว้มิดชิด..

ปูเสฉวนเป็นสัตว์ประเทศร้อน หากินได้ทั้งในน้ำและบนบก อาหารส่วนใหญ่เป็นพวกสาหร่ายและกินพวกกุ้ง ปู ปลาตัวเล็ก ๆ.. 
เมื่ออาศัยอยู่ในเปลือกหอยจนตัวเติบโตใหญ่ขึ้น ก็จะเลือกหาแหล่งที่อยู่ใหม่ที่ใหญ่ขึ้น แล้วเปลี่ยนย้ายไปอยู่ในแหล่งใหม่.. 
ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในเปลือกหอย เจดีย์ หอยสังข์ หอยอูด หอยนมสาว หอยหนาม หอยมวนพลู หอยเงาะ.. 
แต่ในปัจจุบัน ปริมาณเปลือกหอยลดลงไปจากสภาพธรรมชาติดั้งเดิมอย่างน่าใจหาย.. 
เนื่องจากการเก็บเปลือกหอยของมนุษย์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ..
เช่น เป็นของประดับ เพื่อการประดิษฐ์รูปแบบ ต่าง ๆ รวมถึงเพื่อเป็นของฝาก ของที่ระลึก.. 
โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าเปลือกหอยดังกล่าวนั้น เป็นเสมือนบ้านที่อยู่อาศัยของปูเสฉวน ซึ่งเป็น ปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิตเป็นอย่างมาก..

เมื่อเกิดเหตุการณ์สภาพความขาดแคลนบ้าน (เปลือกหอยฝาเดียว).. 
ที่มีโครงสร้างแข็งแรง สวยงาม เหมาะสมทั้งรูปทรงและขนาด อีกทั้ง มีความกลมกลืนกับสภาพธรรมชาติ.. 
ทำให้ปูเสฉวนต้องหันไปพึ่งพิงเศษวัสดุต่างๆ ที่พอจะอาศัยเป็นบ้านชั่วคราวเพื่อความอยู่รอด..
ได้แก่ เศษกระป๋อง ขวดแก้ว ขวดพลาสติก กล่องใส่ฟิลม์ ฯลฯ ซึ่งในปัจจุบันมีให้พบเห็นบ้างแล้ว.. 
อันเป็นภาพที่น่าเวทนาของปูเสฉวนที่เคยเป็นสัตว์ สวยงาม และมีความสง่างามในตัวเอง.. 
อีกทั้งปูเสฉวนยังต้องทนทุกข์ทรมานกับอันตรายที่เกิดจากเศษวัสดุต่าง ๆ ดังกล่าว ได้แก่ สนิมจาก กระป๋อง ความคมของเศษขวดแก้ว สารเคมีที่เป็นส่วนผสมของพลาสติก เป็นต้น.. 
รวมถึงผลกระทบด้านการเจริญเติบโตและการบกพร่องพิการ ในด้านร่างกายที่จำเป็นต้องปรับตัวเข้ากับรูปทรงวัสดุต่าง ๆ อีกด้วย..




ที่มา : http://www.savekohsurin.com/

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับ แมงกระพรุน


แมงกะพรุน (อังกฤษ: Jellyfish) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมไนดาเรีย ลักษณะลำตัวใสและนิ่มมีโพรงทำหน้าที่เป็นทางเดินอาหารมีเข็มพิษไว้ป้องกันและจับเหยื่อ เมื่อโตเต็มวัย ส่วนประกอบหลักในลำตัวเป็นน้ำ 94-98% ด้านบนเป็นวงโค้งคล้ายร่ม ด้านล่างตอนกลางเป็นอวัยวะทำหน้าที่กินและย่อยอาหาร พบได้ในทะเลทุกแห่งทั่วโลก
แมงกะพรุนมีหลายชนิด เช่น แมงกะพรุนจาน หรือ แมงกะพรุนหนัง สามารถรับประทานได้ ส่วนแมงกะพรุนถ้วย แมงกะพรุนไฟ และแมงกะพรุนลาย มีพิษ อีกทั้งยังมีสายพันธุ์ที่พบในน้ำจืดอีกด้วย มีทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่ Craspedacusta sowerbyi หรือ แมงกะพรุนสายน้ำไหล ในต่างประเทศพบที่ยุโรปและสหรัฐอเมริกา ในประเทศไทยพบในลำน้ำเข็ก อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์และ Craspedacusta sinensis หรือ แมงกะพรุนสายน้ำนิ่ง พบในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี, กรุงเทพ ฯ ,แม่น้ำโขง ที่ จ.หนองคาย, จ.เลย, จ.มุกดาหาร และ Craspedacusta iseana พบในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทั้ง 3 ชนิดนี้แตกต่างกันที่การเรียงตัวของหนวดและแหล่งที่อยู่อาศัยเท่านั้น ในขณะที่วงจรชีวิตและพฤติกรรมแทบไม่มีอะไรแตกต่างกัน
แมงกะพรุนไฟสายพันธุ์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก มีชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า "Portuguese man-of-war" (แมงกะพรุนหมวกโปรตุเกส)




ที่มาข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki/แมงกะพรุน
ที่มาภาพจาก Fwd mail : http://www.fwdder.com/topic/56932

                                       งูทะเล



สำหรับสัตว์จำพวกงูพิษ (venom) จัดเป็นสัตว์มีพิษชนิดหนึ่ง ที่มีน้ำพิษเป็นของเหลวที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในร่างกายของมัน เพราะน้ำพิษจะหลั่งออกมาจากต่อมพิเศษที่อยู่ในช่องปาก โดยต่อมนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับต่อมน้ำลายมาก จนถือได้ว่าสารพิษชนิดนี้ถูกพัฒนามาจากน้ำลาย แต่น้ำพิษของงูทะเลจะถูกหลั่งออกมาใน 2 กรณีคือ เมื่อมันต้องการป้องกันตัวเองและเมื่อมันต้องการล่าเหยื่อหรือหาอาหาร มันจะอาศัยหลักการทำงานของเขี้ยวพิษฉีดสารเข้าไปในตัวเหยื่อ แล้วน้ำพิษจะเข้าไปทำลายหรือหยุดการเคลื่อนไหวของเหยื่อ ทำให้เหยื่อเป็นอัมพาตและตายในที่สุด  ส่วนมากสัตว์แต่ละชนิด มักจะมีน้ำพิษที่มีลักษณะเฉพาะของตัวมันเอง ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งองค์ประกอบและปริมาณของสารที่มีพิษและสารที่ไม่มีพิษ ยิ่งถ้างูสองชนิดใดมีความใกล้ชิดหรือเหมือนกันมากเท่าใด น้ำพิษของงูทั้งสองชนิดก็ยิ่งมีองค์ประกอบหรือลักษณะของน้ำพิษที่ใกล้เคียงกันมากขึ้นเท่านั้น และมีความเป็นไปได้ว่า น้ำพิษและเขี้ยวพิษของมันค่อยๆพัฒนาขึ้นมาระหว่างงูสองชนิด ทำให้เพิ่มความหลากหลายของลักษณะทางเคมีของน้ำพิษและลักษณะรูปร่างของเขี้ยวพิษ



 นอกจากนี้ยังพบว่าพิษของงูทะเลมีความรุนแรงมากกว่างูพิษชนิดอื่นๆ ยกเว้นก็เพียงแต่พิษของ Tiger snake ของ Australia เท่านั้น  เนื่องจากการพัฒนาของพิษงูทะเลมีน้อย จะทำให้พวกมันมีต่อมพิษขนาดเล็ก และสามารถส่งผ่านน้ำพิษได้เพียงปริมาณน้อยเท่านั้น ปริมาณน้ำพิษมากที่สุดที่ได้จากการรีดพิษจากงูทะเล คือ 2-80 ม.ก. (น้ำหนักแห้ง) เท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดและขนาดของงูด้วย  ส่วนมากงูทะเลทุกชนิดมีต่อมพิษ ยกเว้นชนิด Acrochodes granulatus หรือ งูผ้าขี้ริ้ว เป็นงูทะเลชนิดเดียวที่มีหางกลม ไม่แบนเป็นใบพาย และเป็นงูทะเลชนิดเดียวที่ไม่มีพิษ



 ดังนั้นงูทะเลพวกที่กินอาหาร ชนิดไม่เคลื่อนที่ ได้แก่ ไข่ปลา เช่นงูทะเลชนิดAipyrus eydouxi , Emydocepphalus annulatus และ E.ijimae ก็มีต่อมพิษเช่นเดียวกัน แต่ใช้ประโยชน์เพื่อป้องกันตัวเองเท่านั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อล่าเหยื่อเหมือนงูทะเลชนิดอื่นๆ เพราะต่อมพิษจะพบว่าอยู่ด้านล่างของหัวถัดจากตาไปทางด้านหลัง ปกคลุมด้วยแคปซูนผนังหนาที่สร้างจาก collagen fiber ต่อมพิษของงูทะเลจะทำงานร่วมกับ accessory gland ซึ่งอยู่ติดกัน ส่งผ่านน้ำพิษออกมาทางท่อส่งพิษ เชื่อมไปจนถึงเขี้ยวพิษ ตามปกติต่อมพิษของงูทะเลจะมีขนาดเล็กกว่าต่อมพิษของงูบก สาเหตุน่าจะมาจากการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมภายในน้ำ ทำให้ปริมาณน้ำพิษน้อยไปด้วย


ที่มา : http://www.carbuyi.com




 ปัจจุบันมีสัตว์จากท้องทะเลมากมายถูกนำขึ้นมาชื่นชมความสวยงามในตู้กระจกใส และหนึ่งในบัญชีสัตว์ทะเลยอดฮิตนั้นก็มีเจ้าปลารูปร่างแปลกประหลาดอย่าง ม้าน้ำ ติดอยู่ในลิสต์กับเขาด้วย ทำให้เกิดการค้าขายม้าน้ำ(มีชีวิต) ไม่ต่ำกว่า 4.5 แสนตัว/ปี เลยทีเดียว

          นอกจากความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในเรื่องของรูปร่างแล้ว พฤติกรรมของ ม้าน้ำ ยังมีความโดดเด่นจนนำอันตรายมาสู่ชีวิตของพวกมัน เนื่องจากการใช้ชีวิตของ ม้าน้ำ ที่จะครองคู่กันแบบผัวเดียวเมียเดียว จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะตายจากกันไป มันจึงมักถูกพรากจากทะเลมาแปรสภาพเป็น ม้าน้ำตากแห้ง เพื่อสังเวยความเชื่อที่ว่า การมอบม้าน้ำคู่ผัวเมียให้แก่คู่บ่าวสาวเป็นของขวัญในวันแต่งงาน เปรียบเหมือนการอวยพรให้คู่บ่าวสาวมีความรักที่ซื่อสัตย์ต่อกัน

          ขณะเดียวกัน ม้าน้ำ ยังถูกนำมาทำยาและของที่ระลึกมากมาย ทำให้ในแต่ละปีมีม้าน้ำทั่วโลก ถูกจับมาใช้ประโยชน์ทางการค้าประมาณ 24.5 ล้านตัว ต่อปี และประเทศไทย ก็ติด 1 ใน 5 ของผู้ส่งออกหลักซะด้วย ทำให้นักอนุรักษ์เป็นห่วงประชากร ม้าน้ำ จนนำไสู่การศึกษาเพื่อเพาะพันธุ์ม้าน้ำขึ้นมา

          สำหรับ ม้าน้ำ  หรือ Sea horse จัดเป็นสัตว์จำพวกปลาหายใจทางเหงือก แต่กลับมีกระดูกหรือก้างมาห่อหุ้มเป็นเกราะอยู่ภายนอกตัว มีหางยาวกระเดียดไปทางจิ้งจก ตุ๊กแก ทั้งนี้ ก็เพื่อเกี่ยวยึดตัวเองตามต้นสาหร่ายในน้ำ และมีครีบบางใสตรงเอวช่วยในเคลื่อนไหวได้อย่างช้า ๆ


ม้าน้ำ

          แม้ว่าปัจจุบันจะมีการเพาะเลี้ยงม้าน้ำทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชนที่นำไปขยายผล แต่ด้วยวิสัยของม้าน้ำ มันมีข้อจำกัดในหลาย ๆ เรื่อง อาทิ พฤติกรรมการกิน เพราะม้าน้ำจะพิจารณาอาหารก่อนทุกครั้ง ก่อนจะสูบอาหารผ่านปากเล็ก ๆ ของมัน ซึ่งอาหารชั้นยอดของ ม้าน้ำ ไม่ใช่ไรทะเลหรืออาร์ทีเมียตัวมีชีวิตเท่านั้น แต่มันยังควรได้รับสารอาหารจากกุ้งขนาดเล็กตัวเป็น ๆ อีกด้วย 

          นอกจากนี้ นิสัยอันเชื่องช้า ทำให้มันไม่ค่อยจะเหมาะเลี้ยงรวมกับปลาทะเลอื่น ๆ เพราะไม่สามารถช่วงชิงอาหารได้ทันนั่นเอง แต่หากคิดจะหาเพื่อนให้ ม้าน้ำ แนะนำเป็นปลาที่หาอาหารในระดับพื้นทราย จำพวกปลากินตระไคร่ หรือปูเสฉวน ขนาดไม่ใหญ่พอที่จะจับม้าน้ำในตู้เป็นอาหาร แต่อย่าได้ไว้ใจเลี้ยงกุ้งสวยงามชนิดต่าง ๆ ร่วมด้วย เพราะเจ้าม้าน้ำอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาหารอันโอชะเอาได้

          และประการสำคัญที่สุด  คือ การควบคุมคุณภาพน้ำทะเลภายในตู้ให้เหมาะสม โดยตู้เลี้ยงม้าน้ำควรเป็นตู้ทรงสูง เพื่อให้เจ้าม้าน้ำได้ว่ายน้ำตามแนวดิ่งได้อย่างอิสระ ทั้งนี้ อาจสร้างกระแสน้ำเอื่อยคล้ายโลกใต้ทะเล และจัดหาปะการังที่ปลอดภัยให้ม้าน้ำสามารถยึดเกี่ยวด้วยหางด้วยก็จะดีมาก แต่ที่ควรระวังคือ ระบบกรองและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อาจใช้ได้กับปลาทะเลทั่วไป อาจกลายเป็นกับดักปลิดชีพม้าน้ำได้ เพราะหากภายในตู้มีฟองอากาศมาก ก็เสี่ยงที่ม้าน้ำดูดเอาฟองอากาศเหล่านั้นไปสะสมอยู่ในตัวจนทำให้มันเสียศูนย์ เกิดอาการลอยเคว้ง และตายไปในที่สุด

          สรุปได้ว่าไม่ง่ายเลยที่จะมีเจ้าปลาน้อยจากใต้ทะเลตัวนี้มาเป็นสัตว์เลี้ยงในกระจกใส แต่หากใครคิดจะเลี้ยงมันจริง ๆ คงต้องศึกษาหาข้อมูลอย่างรู้แจ้งเห็นจริงเสียก่อน 

ที่มา  http://pet.kapook.com/view12716.html

เม่นทะเล 



เม่นทะเล  มักจะอาศัยอยู่บริเวณพื้นทะเลตามแนวปะการังและเกาะตามก้อนหินในน้ำ  ผู้ที่จะไปสัมผัสกับมันเข้าคือพวกที่เหยียบลงไปที่พื้น  ลักษณะเม่นทะเลดังในภาพ มีลักษณะกลมมีหนามยาวรอบตัว  ที่หนามจะมีสารพิษบางอย่างทำให้ผู้ที่ตำมีอาการเจ็บปวด การว่ายน้ำเล่นบริเวณผิวน้ำหรือการดำผิวน้ำจะไม่โดนเม่นทะเลตำเพราะเม่นทะเลอยู่ที่พื้น ถ้าหากเราเหยียบลงไปที่พื้นเราอาจจะเหยียบปะการังพังแล้วยังมีโอกาสโดนเม่นทะเลตำเอาได้  วิธีการหลีกเลี่ยงคืออย่าลอยตัวเข้าไปในเขตน้ำตื้นเพราะอาจจะโดนแม่นทะเลตำ อย่าเหยียบบนพื้น  เพราะนอกจากจะโดนเม่นตำแล้วยังอาจจะทำให้ปะการังเสียหายด้วย
วิธีการรักษา  ให้ใช้ก้อนหินหรือตะกั่วที่ใช้ดำน้ำทุบบริเวณที่โดนตำให้หนามเม่นแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลังจากนั้นรอเวลา เวลาจะช่วยรักษาให้หายเจ็บได้  โดนตำแล้วต้องทน


ไปดูเกาะปลาตีนกันดีกว่าค่ะ



ที่มา : http://www.youtube.com

มารู้จัก "ปลาตีน" กันเจ้าค่ะ


ปลาตีน (อังกฤษ: Mudskipper) คือ ปลาที่อยู่ในวงศ์ย่อย Oxudercinae ในวงศ์ใหญ่ Gobiidae (วงศ์ปลาบู่) มีทั้งหมด 9 สกุล ประมาณ 38 ชนิด กระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปตามชายทะเลโคลนและป่าชายเลนในเขตร้อนตั้งแต่เขตมหาสมุทรแอตแลนติก ชายฝั่งแอฟริกาจนถึงเอเชียแปซิฟิก มีควมยาวลำตัวแตกต่างออกไปตั้งแต่เพียงไม่กี่เซนติเมตร
ปกติปลาตีนจะอาศัยอยู่รวมกันหลายตัวไม่มีออกนอกเขตของตัวเอง เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ ปลาตีนตัวผู้จะมีสีเข้มขึ้นและมีอาณาเขตของการสืบพันธุ์ โดยจะมีการสร้างหลุมซึ่งมันจะใช้ปากขุดโคลนมากอง บนปากหลุม เรียกว่า หลุมปลาตีน และมีพฤติกรรมหวงเขตแดนเมื่อมีปลาตีนตัวอื่นรุกล้ำ โดยจะแสดงการกางครีบหลังขู่ และเคลื่อนที่เข้าหาผู้รุกล้ำทันที ปลาตีนตัวผู้และตัวเมียจะผสมพันธุ์ในหลุมที่ตัวผู้ขุดไว้




ที่มา : http://picpost.postjung.com
 << ปลาดาว >>



                    ดาวทะเล หรือที่เรียกกันติดปากว่า ปลาดาว (อังกฤษ: Starfish, Seastar) เป็นสัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลัง ที่อยู่ในชั้น Asteroidea[1] ลักษณะทั่วไป มีลำตัวแยกเป็นห้าแฉกคล้ายรูปดาวเรียกว่า แขน ส่วนกลาง มีลักษณะเป็นจานกลม ด้านหลังมีตุ่มหินปูน ขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วไป มีปากอยู่ด้านล่างบริเวณ จุดกึ่งกลางของ ลำตัว ใต้แขนแต่ละข้างมีหนวดสั้น ๆ เรียงตามส่วนยาว ของแขนเป็นคู่ ๆ มีลักษณะเป็นกล้ามเนื้อที่เหนียวและแข็งแรงเรียกว่า โปเดีย ใช้สำหรับยึดเกาะกับเคลื่อนที่ มีสีต่าง ๆ ออกไป ทั้ง ขาว, ชมพู, แดง, ดำ, ม่วง หรือน้ำเงิน เป็นต้น พบอยู่ตามชายฝั่งทะเล โขดหิน และบางส่วนอาจพบได้ถึงพื้นทะเลลึก กินหอยสองฝา โดยเฉพาะ หอยนางรม, กุ้ง, ปู หนอน และ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่น ๆ เช่น ฟองน้ำหรือปะการัง เป็นอาหาร
ดาวทะเล พบอยู่ในทะเลทั่วโลก ทั้ง มหาสมุทรแปซิฟิก, แอตแลนติก, มหาสมุทรอินเดีย รวมทั้งในเขตขั้วโลกด้วยอย่าง มหาสมุทรอาร์กติก และแอนตาร์กติกา
ดาวทะเล ถึงปัจจุบันนี้พบอยู่ด้วยประมาณ 1,800 ชนิด กระจายอยู่ในอันดับต่าง ๆ 7 อันดับ (ดูในตาราง) ซึ่งดาวทะเลขนาดเล็กอาจมีความกว้างเพียง 1 เซนติเมตร และขนาดใหญ่ที่สุดอาจยาวได้ถึง 1 เมตร และในบางชนิดอาจมีแขนได้มากกว่า 5 แขน
สืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ โดยมีทั้งเพศผู้และเพศเมีย การปฏิสนธิเกิดภายนอกตัว ระยะแรกตัวอ่อนจะดำรงชีวิตแบบแพลงก์ตอนสัตว์ จากนั้นจะเริ่มพัฒนาตัวแล้วจมตัวลงเพื่อหาที่ยึดเกาะแล้วเจริญเป็นตัวเต็มวัย ส่วนการ สืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ในบางชนิดเมื่อแขนถูกตัดขาดลง จะพัฒนาตรงส่วนนั้นกลายเป็นดาวทะเลตัวใหม่เกิดขึ้น และตัวที่ขาดก็จะงอกชิ้นใหม่ขึ้นมาได้จนสมบูรณ์ แต่กระบวนการเหล่านี้ต้องใช้เวลาเป็นปี
การเคลื่อนที่ของดาวทะเล เนื่องจากดาวทะเลเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มีโครงแข็งที่ผิวนอก ไม่ได้ยึดเกาะกับกล้ามเนื้อ จึงมีระบบการเคลื่อนที่ด้วยระบบท่อน้ำ จากท่อวงแหวนจะมีท่อน้ำแยกออกไปในแขน เรียกท่อนี้ว่า เรเดียลแคแนล ทางด้านข้างของเรเดียลคาแนล มีท่อแยกไปยังทิวบ์ฟีต การยืดและหดของทิวบ์ฟิตจะเกิดขึ้นหลาย ๆ ครั้ง และมีความสัมพันธ์กันทำให้เกิดการเคลื่อนที่ไปได้
ดาวทะเลมีความสัมพันธ์ต่อมนุษย์ในแง่ ของการใช้ซากเป็นเครื่องประดับตกแต่งบ้านเพื่อความสวยงาม อีกทั้งในบางวัฒนธรรมเช่น จีน มีการใช้ดาวทะเลเพื่อปรุงเป็นยา รวมทั้งใช้ปิ้งย่างเป็นอาหาร[3] อีกทั้งยังนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงภายในตู้ปลาเพื่อความเพลิดเพลินอีกด้วย




ที่มา : http://th.wikipedia.org 




ปลาสินสมุทรบั้ง

ชื่ออังกฤษ      Regal Angelfish

ชื่อวิทยาศาสตร์   Pygoplites diacanthus

ตระกูล   Chastodontidae

แหล่งที่อยู่  พบในเขตร้อน อินโด-แปซิฟิก

ลักษณะ  รูปร่างคล้ายปลาตระกูล Pomacanthus

สี  สีของลูกปลาและปลาที่โตแล้วจะต่างกัน ตอนเป็นลูกปลาจะมีแถบสีอ่อนซึ่งมีขอบสีเข้ม 4 แถบพาดผ่านสีข้างช่วงตอนท้ายของครีบหลังจะมีปื้นสีเข้มขนาดใหญ่ ส่วนปลาที่โตแล้ว ตอนบนของหัวจะมีสีฟ้าอมเทา จมูก ลูกคางและหน้าอกจะเป็นสีเหลืองอ่อน ลำตัวมีสีส้มสดเป็นสีพื้นและมีแนวสีฟ้า่อ่อน ขอบเข้มอีก 5-9 เส้นแนวพาดตรงจากหลังจรดบริเวณท้อง ครีบหางสีเหลืองสด
ขนาด   ประมาณ 10นิ้ว ( 25 ซม. )

สภาพแวดล้อม  อุณหภูมิ  79 – 84 องศาฟาเรนไฮด์ ( 26 – 29 องศาเซลเซียส )

ค่า pH มากกว่า 8 ความหนาแน่นของน้ำ 1,020 -1,023

การส่องสว่าง    ชอบแสงสว่าง

อุปนิสัย ชอบอยู่ตัวเดียว หวงอาณาเขต เวลาเลี้ยงในตู้ปลาจะมีลักษณะที่ก้าวร้าวมาก ควรเลี้ยงตัวเดียวในตู้ปลาขนาดใหญ่

การเลี้ยงดู    ตามธรรมชาติกิน mollusk และมีเปลือกแข็งประเภท ปู กุ้งหอย และ tubfex  ต้องการอาหารประเภทผักจำนวนมาก ควรให้วิตามินอาทิตย์ละครั้ง

ข้อแนะนำ   เข้าได้ดีกับปลา butterfly fish และ Paracanthurus hepatus


                                 ร้อนๆๆแบบนี้ ไปดำน้ำที่เกาะล้านกันดีกว่า ........

ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=Pj76OWp9T_w


ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=r6QkfiLia6Y

                 ปลาสิงโต



                               ปลาสิงโต : lionfish ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาแมงป่อง (Scorpaenidae) เป็นปลาที่มีความสวยงาม ที่มาของชื่อจากคลีบที่เป็นรูปใบพัด ซึ่งมีลักษณะเหมือนคอสิงโตขนาดใหญ่ช่วยในการอำพรางจากนักล่าในถิ่นที่อาศัยอยู่พวกมันยังมีพิษอยู่ตรงเงี่ยงครีบหลัง พิษนี้สามารถทำให้มนุษย์เจ็บปวดและไม่สามารถหายใจได้ตามปกติมันเป็นหนึ่งในปลาที่มีพิษมากที่สุดในโลก
               มีขนาดความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ขนาดใหญ่ที่สุด 23 เซนติเมตร เป็นปลากินเนื้อ กินกุ้งและปลาขนาดเล็กต่าง ๆ เป็นอาหาร อาศัยอยู่ตามแนวปะการัง ของเขตอินโด-แปซิฟิก, แอฟริกาใต้, หมู่เกาะริวกิว, นิวแคลิโดเนีย ในน่านน้ำไทยจัดเป็นปลาที่พบได้ไม่บ่อย



                เป็นปลาที่มีต่อมพิษที่ก้านครีบแข็งทุกก้าน โดยจะอยู่ใต้ชั้นผิวหนังโดยอยู่รอบส่วนกลาง ส่วนปลายของก้านหนามหุ้มห่อด้วยเนื้อเยื่อ พิษเป็นสารประกอบโปรตีน ซึ่งผู้ที่โดนแทงจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของปลาในวงศ์นี้ แต่โดยรวมแล้ว ปลาสิงโตจะมีความรุนแรงของพิษน้อยกว่าปลาสกุลอื่นหรือวงศ์อื่น ในอันดับเดียวกัน



                เป็นปลาที่มีความสวยงาม จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ปกติไม่บริโภคเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์อยู่ตามแนวปะการังหรือกองหินใต้น้ำ ในเขตอินโด-แปซิฟิก เป็นปลาที่กินกุ้งหรือปลาขนาดเล็กชนิดอื่นเป็นอาหาร ด้วยการกางครีบแล้วไล่ต้อนให้จนมุม แล้วใช้ปากฮุบกินไปทั้งตัว นอกจากนี้แล้วครีบต่าง ๆ นั้นยังใช้สำหรับกางเพื่อขู่ศัตรูได้ด้วย


ที่มา : http://www.nextsteptv.com


เรามารู้จักปลาการ์ตูนกันบ้างดีกว่า ^^


             ปลาการ์ตูนออกลูกเป็นไข่และสามารถเปลี่ยนเพศได้ ปลาการ์ตูนจะเปลี่ยนเพศเมื่อสิ่งแวดล้อมกำหนดบทบาทให้ โดยในระยะแรกเริ่มหลังจากที่ฟักออกจากไข่ยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าเป็นเพศใด จนกว่าจะเป็นตัวเต็มวัยจึงจะปรากฏเป็นปลาเพศผู้ และในปลารุ่นเดียวกันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดจะต้องเปลี่ยนแปลงเป็นปลาเพศเมีย โดยในสังคมของปลาการ์ตูนกลุ่มหนึ่งๆ จะมีปลาเพศเมียเพียงตัวเดียวเท่านั้น ตัวใหญ่ที่สุดในฝูง สีสันไม่สดใสมากนัก พฤติกรรมก้าวร้าว ส่วนปลาเพศผู้มีขนาดเล็กกว่า สีสันสวยงามกว่า จากปลาเพศผู้ เมื่อมีสิ่งเร้าจากภายนอกและภายในเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ เทเลนฟาลอน (Telenephalon) จะส่งสัญญาณมาที่ธาลามัส (Thalamus) และไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) ส่งคำสั่งไปยังต่อมใต้สมองให้หลั่งฮอร์โมนเฉพาะของเพศผู้ อวัยวะเป้าหมายส่วนที่ จะพัฒนาจนสามารถทำงานได้คืออัณฑะผลิตสเปิร์ม ส่วนตัวที่ใหญ่ ที่สุดจะมีพัฒนาการตรงกันข้าม ไฮโปธาลามัสจะส่งคำสั่งไปยังต่อมใต้สมองให้หลั่งฮอร์โมนเฉพาะของเพศเมีย อวัยวะเป้าหมายคือรังไข่ ผลิตไข่ และถ้าเพศเมียตายไป ปลาการ์ตูนเพศผู้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แข็งแกร่งที่สุด จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพศทดแทนด้วยกลไกแบบหลังภายใน 4 สัปดาห์ โดยจะเพิ่มขนาดอย่างรวดเร็ว พร้อมสีสันสวยน้อยลง

            ปลาการ์ตูนมีทั้งหมด 28 ชนิด ในเมืองไทยพบปลาการ์ตูน 7 ชนิด  พบทั้งอ่าวไทยและอันดามันได้แก่ ปลาการ์ตูนส้มขาว ปลาการ์ตูนอินเดียแดง ปลาการ์ตูนแดง ปลาการ์ตูนมะเขือเทศ ปลาการ์ตูนอานม้า ปลาการ์ตูนลายปล้อง ปลาการ์ตูนอินเดียน


1.ปลาการ์ตูนพันธุ์ส้มขาว



Clown Anemonefish
Amphiprion ocellaris (Cuvier, 1830)

ลำตัวมีสีส้มเข้ม มีแถบสีขาว 3 แถบ พาดบริเวณส่วนหัว ลำตัวและบริเวณหาง ขอบของแถบสีขาวเป็นสีดำ ขอบนอกของครีบเป็นสีขาวและขอบในเป็นสีดำ อาศัยในที่ลึก ตั้งแต่ 1-15 เมตร ขนาดตัวโตที่สุดประมาณ 10 เซนติเมตร อาศัยอยู่กับดอกไม้ทะเลชนิด Heteractis magnifica และ Stichodactyla gigantea เป็นต้น ในดอกไม้ทะเลแต่ละกออาจพบปลาการ์ตูนชนิดนี้อยู่ด้วยกัน 6-8 ตัว ปลาการ์ตูนส้มขาวพบได้บ่อยที่สุดในทะเลอันดามัน อ่าวไทยพบได้ที่เกาะโลซิน จังหวัดนราธิวาส อาศัยอยู่เป็นครอบครัวใหญ่


2.ปลาการ์ตูนพันธุ์อินเดียแดง



ปลาการ์ตูนอินเดียนแดง
Pink skunk Anemonefish
Amphiprion perideraion

ลำตัวมีสีเนื้ออมเหลืองทองอมชมพู มีแถบขาวพาดอยู่บริเวณหลังตา อาศัยในที่ลึกตั้งแต่ 3-25 เมตรขนาด โตที่สุดประมาณ 10-11 เซนติเมตร อาศัยอยู่กับดอกไม้ทะเลชนิด Heteractis magnifica และ Stichodactyla mertensii อยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ พบเห็นได้ตามแนวปะการังทางฝั่งอ่าวไทย

       
3.ปลาการ์ตูนพันธุ์แดง


ปลาการ์ตูนแดง
Spine - cheek anemonefish, Premnas biaculeatus (Bloch, 1790)

ปลาการ์ตูนแก้มหนาม หรือการ์ตูนทอง หรือการ์ตูนแดง เป็นปลาชนิดเดียวกัน (species) ลำตัวมีสีส้มแดง เมื่ออายุมากขึ้นสีจะแดงมากขึ้นจนเป็นสีแดงเข้มอมดำ ลำตัวมีแถบสีขาวพาดขวางลำตัว 3 แถบ บริเวณหลังตา กลางลำตัว และโคนหาง ลักษณะเด่นของปลาชนิดนี้คือมีหนามแหลมบริเวณใต้ตา ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 16 ซ.ม. พบได้ตามรอบนอกของแนวปะการัง และส่วนที่เป็นแนวปะการังลาดชัน มักอาศัยอยู่กับดอกไม้ทะเลชนิด Entacmaea quadricolor


4.ปลาการ์ตูนพันธุ์มะเขือเทศ


ปลาการ์ตูนมะเขือเทศ
Tomato anemonefish, A. frenatus, Brevoort, 1856

             ปลาเต็มวัยลำตัวมีสีดำอมแดง ครีบทุกครีบมีสีแดง มีแถบสีขาว 1 แถบ พาดขวางบริเวณหลังตา ปลาขนาดเล็กจะมีลำตัวและครีบเป็นสีแดง มีแถบขาวพาดขวางลำตัว 3 แถบ บริเวณหลังตา ตอนกลางของลำตัว และโคนหาง ในปลาวัยรุ่นแถบสีขาวที่โคนหางจะหายไปขนาดโตเต็มวัยประมาณ 12 เซนติเมตร อาศัยอยู่ตามลากูน หรือรอบนอกของแนวปะการัง มักอาศัยอยู่กับดอกไม้ทะเลชนิด Entacmaea quadricolor เคยมีรายงานว่าพบได้ในประเทศไทยแต่ปัจจุบันไม่มีใครพบอีก  ปลาที่ซื้อขายในตลาดประเทศไทยเป็นปลาที่นำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซีย

         
5. ปลาการ์ตูนพันธุ์อานม้า


ปลาการ์ตูนอานม้า
saddleback anemonefish, A. polymnus

 ลำตัวมีสีน้ำตาลอมดำ มีแถบขาว 2 แถบ แถบแรกอยู่ที่หลังตา อีกแถบเริ่มบริเวณกลางลำตัวเป็นแถบโค้งพาดเฉียงขึ้นไปที่ครีบหลัง ลักษณะคล้ายอานม้า พบในที่ลึก ตั้งแต่ 2-30 เมตร ขนาดโตที่สุดประมาณ 12 เซนติเมตร อยู่กับดอกไม้ทะเลชนิดที่ฝังตัวอยู่ตามพื้นทราย คือ Heteractis crispa และ Stichodactyla haddoni พบเฉพาะในอ่าวไทย


6.ปลาการ์ตูนพันธุ์ลายปล้อง    

ปลาการ์ตูนลายปล้องหางเหลือง
sebae anemonefish, A. sebae

ลำตัวมีสีดำ ส่วนหางมีสีเหลือง มีแถบขาว 2 แถบ แถบแรกพาดอยู่บริเวณหลังตา อีกแถบพาดผ่านท้องขึ้นมายังครีบหลังเป็นชนิดที่หายาก พบเฉพาะฝั่งอันดามันในที่ลึกตั้งแต่ 2-25 เมตร ขนาดโตที่สุดประมาณ 14 เซนติเมตร อยู่กับดอกไม้ทะลชนิดที่ฝังทรายได้แก่ Stichodactyia haddoni มีสีน้ำตาลหนวดสั้นมักอยู่กันเป็นคู่กับลูกเล็ก ๆ 3-4 ตัว มีนิสัยดุร้ายกับปลาอื่นที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัว



7.ปลาการ์ตูนพันธุ์อินเดียน

ปลาการ์ตูนอินเดียน
Yellow Skunk Anemonefish
Amphiprion akallopisos (Bleeker, 1853)

ลำตัวมีสีเนื้ออมเหลืองทองอมชมพู มีแถบขาวเล็ก ๆ พาดผ่านบริเวณหลังตั้งแต่ปลายจมูกจนจรดครีบหาง อาศัยในที่ลึกตั้งแต่ 3-25 เมตรขนาดโตที่สุดประมาณ 10-11 เซนติเมตร อาศัยอยู่กับดอกไม้ทะเลชนิด Heteractis magnifica และ Stichodactyla mertensii อยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่คล้ายปลาการ์ตูนส้มขาว พบอาศัยอยู่ทางฝั่งอันดามัน

ที่มา :  http://ohfish.igetweb.com/







ปลาเสือพ่นน้ำ เป็นปลาเก่าแก่คู่สายน้ำเมืองไทยมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ในวรรณคดีหลายเรื่องตลอดจนจดหมายเหตุต่างๆ ในอดีตก็มีกล่าวถึงปลาชนิดนี้ไว้ในแง่ของการชื่นชมความสวยงามกับอุปนิสัยที่น่ารักของมัน ปลาเสือพ่นน้ำมีรูปร่างแบนข้าง ส่วนหัวเล็ก มีจะงอยปากยื่นแหลม ครีบทุกครีบสั้น โดยเฉพาะครีบหาง ส่วนครีบกระโดงแบ่งออกเป็นสองส่วนเชื่อมติดกัน คือส่วนที่เป็นก้านครีบแข็ง ซึ่งจะตั้งเป็นหนามแหลมกับส่วนที่เป็นก้านครีบอ่อน ปลาเสือพ่นน้ำเป็นปลาหากินผิวน้ำ ลักษณะลำตัวจากปลายปากกับแนวสันหลังจึงเกือบเป็นเส้นตรง ปากกว้างเฉียงลงและดวงตากลมโต สายตานั้นดีมาก สามารถมองเห็นแมลงที่เกาะซ่อนตัวอยู่ตามริมตลิ่งหรือกิ่งไม้ได้อย่างง่ายดาย 

          ปลาเสือพ่นน้ำมีหลายชนิดพันธุ์ บางชนิดอาศัยในแหล่งน้ำจืดสนิท บางชนิดอยู่บริเวณปากแม่น้ำซึ่งเป็นน้ำกร่อย และบางชนิดก็อาศัยอยู่ในทะเลเป็นปลาน้ำเค็มไปโดยสมบูรณ์แบบ ชนิดหลังนี้จึงมีความใหญ่โตมากกว่าชนิดอื่น เคยมีผู้พบเห็นปลาเสือพ่นน้ำที่มีความยาวเกือบ 40 เซนติเมตร ตามชายฝั่งทะเลหลายครั้ง แต่ขนาดโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ไม่เกิน 20-30 เซนติเมตร ส่วนปลาเสือพ่นน้ำน้ำจืดจะมีขนาดค่อนข้างเล็ก โตเต็มที่ไม่เกิน 15 เซนติเมตร 

          ชื่อสกุลของปลาเสือพ่นน้ำ คือ Toxotes เป็นภาษากรีก แปลว่า "นักยิงธนู" นักเลี้ยงปลาทั่วโลกก็รู้จักมันในชื่อทางการค้าว่า "Archer fish" หรือปลานักยิงธนูนั่นเอง 

ที่มา : http://pet.kapook.com/view2547.html

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ใกล้จะถึงหน้าร้อนกันแล้ว เรามาดำน้ำคลายร้อน กับ 10 สถานที่ดำน้ำสุดฮอตของเมืองไทยกันเถอะคะ ^^___^^



สำหรับสถานที่ดำน้ำยอดฮิตทั้ง 10 แห่งนี้คือส่วนหนึ่งของทะเลไทยที่รอให้ผู้สนใจไปค้นหาและสัมผัสในความงดงามของโลกใต้ทะเล โดยที่เราต้องไม่มองข้ามความปลอดภัย รวมถึงต้องปฏิบัติตามกฏกติกาต่างๆของการดำน้ำอย่างเคร่งครัด ให้การดำน้ำเป็นเพียงการไปเยี่ยมเยือน มิใช่การบุกรุก เพื่อให้ธรรมชาติอันงดงามใต้ท้องทะเลยังคงอยู่คู่ทะเลไทยไปอีกนานเท่านาน



เริ่มกันที่อันดับแรกคือ หมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา หมู่เกาะแห่งนี้มี 9 เกาะเดิม และ 2 เกาะใหม่ มีสัญลักษณ์ คือหินเรือใบที่เกาะแปด(สิมิลัน) อันเลื่องชื่อ หมู่เกาะสิมิลันคือหนึ่งในสุดยอดแหล่งดำน้ำลึกของเมืองไทย มีความงดงามติด1 ใน 10 แหล่งดำน้ำลึกยอดนิยมของโลก ในขณะที่จุดดำน้ำตื้นที่สิมิลันก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะแถวบริเวณเกาะสี่ (เมียง)และเกาะแปด ถ้าโชคดีเพียงแค่ดำสน็อคเกิ้ลก็อาจจะได้พบกับเต่าทะเล มาแหวกว่ายเป็นเพื่อนเคียงคู่ไปกับนักท่องเที่ยว


อันดับ 2 หมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา ซึ่งเป็นแหล่งชมปลาการ์ตูนและเต่าทะเลที่หาดูได้ยาก เป็นจุด ดำน้ำที่พบฉลามวาฬบ่อยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยจุดดำน้ำลึกอันโดดเด่นอยู่บริเวณ กองหินริเซลิว ซึ่งเป็นกองหินใต้น้ำหลากหลายขนาด ลักษณะคล้ายกับเป็นคอนโดมิเนียม มีสัตว์น้ำเล็กๆ อาศัยอยู่ตามซอกมุมของหิน เช่น ปลากบ กุ้งตัวตลก ม้าน้ำ ทากทะเล ปะการังอ่อนหลากสี บางครั้งคุณอาจได้พบกับฝูงปลาสากยักษ์ และปลากะพงขนาดใหญ่จำนวนมาก 
        
  ส่วนจุดดำน้ำตื้น ในบริเวณอ่าวรอบๆ หมู่เกาะสุรินทร์เกือบทุกอ่าวจะเต็มไปด้วยแนวปะการังแข็งที่สมบูรณ์ที่สุดของท้องทะเลไทย เป็นที่อาศัย หากิน หลบภัย และขยายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก ซึ่งนักดำน้ำหลายคนยกให้เกาะสุรินทร์เป็นแหล่งดำน้ำตื้นที่สวยงามที่สุดในเมืองไทย

อันดับ 3 คือ หินม่วง หินแดง หมู่เกาะลันตา จ.กระบี่ เป็นแหล่งดำน้ำที่อุดมไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม เป็นแหล่งปะการังอ่อนหลากสีสัน และมีสัตว์น้ำขนาดใหญ่ อย่าง วาฬ, ฉลามวาฬ และแมนต้าเรย์ รวมถึงกระเบนราหู กระเบนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังมีโอกาสพบฉลามเสือดาวนอนหมอบอยู่ตามพื้นทรายหรือพบกับฝูงปลาสากยักษ์ ถ้าโชคดี


อันดับ 4 ยังคงอยู่กันที่ หมู่เกาะลันตา กับบริเวณ เกาะห้า ซึ่งเป็นเกาะหินปูนขนาดเล็ก ก็เป็นอีกหนึ่งจุดดำน้ำขึ้นชื่อ เพราะใต้ผิวน้ำมีถ้ำขนาดใหญ่สลับซับซ้อนกัน เวลาอยู่ในถ้ำแล้วมองออกมาจะเห็นแสงอาทิตย์สาดกระทบผิวน้ำสะท้อนภาพสู่ใต้น้ำงดงามราวสรวงสวรรค์ ส่วนทางด้านทิศตะวันตกของเกาะห้า มีกองหินขนาดใหญ่และปะการังอ่อนขึ้นอยู่ทั่วพื้นที่ และอาจจะเจอปลาไหลสวนที่มุดอยู่ชูคอออกมาดักอาหารให้นักดำน้ำได้ตื่นเต้นกันพอสมควร

อันดับ 5 ที่ หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ที่นี่มีจุดดำน้ำที่น่าสนใจ คือ บริเวณกองหินมูสัง มีลักษณะเป็นแนวกองหินใต้น้ำขนาดใหญ่หลายกองเชื่อมต่อกัน และถูกปกคลุมไปด้วยเหล่าปะการังสีชมพูสดใส มีฝูงปลานานาชนิด มีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กให้ดูกันเป็นจำนวนมาก เกาะคู่ หรือกองหินปิดะ เป็นจุดดำน้ำที่มีโฮกาสได้พบกับฉลามเสือดาว กระเบนราหู รวมทั้งสัตว์เล็กๆ อย่าง ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ หรือปลากบหลากหลายสีสัน ,Shark Point หรือกองหินสันฉลาม เป็นกองหินใต้น้ำที่มีโอกาสพบฉลามได้บ่อยครั้ง


อันดับ 6 เกาะจาบัง หมู่เกาะตะรุเตา จ.สตูล เป็นแหล่งปะการังใต้น้ำเจ็ดสีที่สวยที่สุดจุดหนึ่ง กองหินใต้น้ำต่างๆบริเวณนี้ถูกปกคลุมไปด้วย ปะการังอ่อนสีชมพู สีม่วง สีฟ้า สีแดง ดอกไม้ทะเล ดาวขนนก ฟองน้ำครกขนาดใหญ่ และที่เพิ่มสีสันให้สวยงามขึ้น ก็ได้แก่ ฝูงปลาน้อยใหญ่ แวกว่ายกันอยู่ ไม่ว่าเป็น ปลาการ์ตูน ปลานกแก้ว ปลานกขุนทอง ที่นี่เป็นร่องน้ำลึกที่มีกระแสน้ำไหลเชี่ยว นักท่องเที่ยวที่ดำน้ำควรมีชูชีพ และเกาะเชือกที่ผูกไว้กับเรือไว้ขณะดำน้ำ 


อันดับ 7 หมู่เกาะราชา จ.ภูเก็ต ซึ่งประกอบด้วยเกาะราชาใหญ่ และเกาะราชาน้อย จุดดำน้ำของเกาะราชาใหญ่อยู่ที่ด้านตะวันออกเฉียงใต้ของตัวเกาะ มีแนวปะการังแข็งปกคลุม แต้มด้วยปลาดาวขนนกสีสด ส่วนเกาะราชาน้อย จุดดำน้ำอยู่ที่หัวเกาะด้านเหนือ เป็นดงปะการังอ่อนและที่อยู่ของฝูงปลานานาชนิด รวมถึงยังเป็นจุดที่สามารถพบปลากบได้อีกด้วย


อันดับ 8 หินหมูสังนอกและหินหมูสังใน จ.ภูเก็ต เป็นที่รู้จักในหมู่นักดำน้ำชาวต่างชาติในชื่อ Anemone Reef และ Shark Point หินหมูสังนอก เป็นดงของดอกไม้ทะเลและปะการังอ่อนที่เกาะหินใต้น้ำเป็นผืน ส่วนหินหมูสังใน เป็นจุดดำน้ำที่มีความหลากหลายของสัตว์ทะเลสูงทั้งปะการัง กัลปังหา ฟองน้ำ ปลาเก๋า ปลาผีเสื้อ ปลาสิงโต รวมถึงฉลามกบ


อันดับ 9 ที่ เกาะเต่า-เกาะนางยวน จ.สุราษฎร์ธานี ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในจุดดำน้ำที่สวยงามที่สุดของอ่าวไทย และมีจุดดำน้ำขึ้นชื่อหลายจุด อาทิ หินนางยวน เป็นจุดดำน้ำกลางคืน ที่มักได้พบกับปูและปลาขนาดเล็กจำนวนมาก และเมื่อลงไปถึงก้นทะเลอาจพบปลากระเบนขนาดใหญ่ซุกอยู่ตามซอกตามมุม กองหินขาว บริเวณนี้มีปะการังดำ ดงดอกไม้ทะเล กัลปังหาพัด และปะการังอ่อนหลากสี กองชุมพร เป็นแหล่งชมปลาหมอทะเล ปลาเก๋าตัวใหญ่ ปะการังดำ ฟองน้ำ ถ้วยทะเล อีกทั้งยังอาจได้พบกับฉลามวาฬที่มักวนเวียนอยู่เป็นประจำ กองทรายแดง เป็นจุดชึ้นชื่อในเรื่องของปะการังอ่อนสีสด กัลปังหา และฟองน้ำครก ด้วยระดับน้ำที่ไม่ลึกมากจึงเหมาะสำหรับนักดำน้ำมือใหม่

อันดับ 10 ที่ภาคตะวันออกกับ หมู่เกาะช้าง จ.ตราด ซึ่งมีจุดดำน้ำน่าสนใจ คือ เกาะรังและเกาะยักษ์ นอกจากนี้ยังมีตามจุดเรือจมอย่าง เรือจมสุทธาทิพย์ (Hardeep) เรือกลไฟเหล็กของบริษัท Siam Steam Navigation ซึ่งจมอยู่ระหว่างเกาะโรงโขนกับเกาะจวง สภาพของเรือสุทธาทิพย์ในปัจจุบันยังคงทรงรูปเรือสวยงาม สำหรับการดำน้ำที่เรือสุทธาทิพย์ นักดำน้ำสามารถสัมผัสกับความงามของตัวเรือ และสัตว์ทะเลอันหลากหลายได้ เช่น ทากพู่, เต่า, กระเบน และปลาสาก ที่มีอยู่อย่างชุกชุม

ที่มา : http://www.tlcthai.com/travel/5793